ในยุคที่ तक หรือปัญญาประดิษฐ์ กำลังเปลี่ยนแปลงโลกอย่างรวดเร็ว เราได้มีโอกาสฟังความคิดเห็นจาก Reid Hoffman ผู้ร่วมก่อตั้ง लिंक्चर्ड และพาร์ทเนอร์ของ Greylock Partners ในประเด็นที่พูดถึงนโยบาย AI ระหว่างสหรัฐอเมริกาและยุโรป รวมถึงการลงทุนในวงการ AI และความท้าทายที่เกิดขึ้นในตลาดเทคโนโลยีปัจจุบัน บทความนี้จะสรุปสาระสำคัญจากการพูดคุยของเขา พร้อมวิเคราะห์แนวคิดและวิสัยทัศน์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับอนาคตของ AI และเทคโนโลยีในระดับโลก

ยุโรปกับกฎระเบียบ AI: ความท้าทายของการควบคุมที่มากเกินไป
Reid Hoffman เริ่มต้นด้วยการวิจารณ์แนวทางของสหภาพยุโรปที่พยายามจะควบคุม तक อย่างเข้มงวดเกินไป ซึ่งเขามองว่าเป็นการ “overreach” หรือการขยายขอบเขตกฎระเบียบที่มากเกินไป จนอาจส่งผลเสียต่อการพัฒนาเทคโนโลยีในยุโรป
เขาให้เหตุผลว่า การที่ยุโรปพยายามตั้งกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดและต้องผ่านกระบวนการรับรองที่ซับซ้อน ทำให้บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ บางแห่งเลือกใช้โมเดล AI รุ่นเก่าหรือที่ไม่ทันสมัย เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากในการรับรอง ซึ่งส่งผลเสียต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรมในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม Hoffman เห็นด้วยกับแนวคิดของ “safe harbor boundaries” หรือขอบเขตความปลอดภัยที่กำหนดไว้ในกฎหมาย AI Act ของยุโรป ซึ่งเป็นการกำหนดขอบเขตชัดเจนว่าหากผู้พัฒนาดำเนินงานภายในกรอบนั้น จะไม่ถูกดำเนินคดีหรือรับผิดชอบในข้อกำหนดที่ไม่ชัดเจน ซึ่งสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจและการลงทุน
เขาย้ำว่า “ความมั่นคง” ในกฎระเบียบเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้ากฎเปลี่ยนแปลงบ่อยหรือไม่ชัดเจน จะทำให้บริษัทต่าง ๆ หยุดชะงักและไม่กล้าลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ
ความแตกต่างระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปในนโยบาย AI
ในขณะที่ยุโรปกำลังพยายามตั้งกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนและเข้มงวด สหรัฐอเมริกากลับยังไม่มีการกำหนดกรอบนโยบาย AI ที่ชัดเจนเท่ากับยุโรป Hoffman ชี้ว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของรัฐบาลปัจจุบัน ยังไม่มีการระบุชัดเจนว่า AI ควรถูกควบคุมอย่างไร แม้จะมีการพูดคุยในประเด็นนี้บ้าง แต่ยังไม่ถึงขั้นกำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเหมือนกับที่เคยทำกับตลาดคริปโต
เขามองว่า ธุรกิจต้องการ “ความมั่นคง” เพื่อให้กล้าลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยี แม้จะไม่เห็นด้วยกับกฎระเบียบบางข้อ แต่ถ้ารู้ว่าต้องปฏิบัติตามอย่างไร ก็ยังดีกว่าที่จะไม่มีกรอบแน่ชัดเลย

Manus AI: การลงทุนในอนาคตเพื่อรักษาชีวิต
Reid Hoffman ยังได้พูดถึงโครงการ स्क्रिप्टेड एआई ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่เขาลงทุนและมุ่งเน้นไปที่การใช้ AI เพื่อค้นคว้าและพัฒนายารักษามะเร็งที่รุนแรง
นี่เป็นโครงการระยะยาวที่ใช้เวลาหลายปี และ Hoffman มองว่า การลงทุนในเทคโนโลยี AI แม้จะมีความไม่แน่นอนเรื่องกฎระเบียบในสหรัฐฯ ก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเขา เพราะเขามีความหวังและมองโลกในแง่ดีเสมอว่าการพัฒนาเทคโนโลยีจะนำไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น

ปรับตัวและวางแผนยืดหยุ่นในธุรกิจ AI
ในบทสนทนา Hoffman ยังพูดถึงการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในธุรกิจ AI ผ่านประสบการณ์กับ विभक्ति एआई และ Manus AI โดยเขาอธิบายว่าการทำธุรกิจ AI โดยเฉพาะในโมเดลผู้บริโภค (consumer agent) จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลก่อนที่จะรู้ว่ารูปแบบรายได้จะเป็นอย่างไร
ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่โมเดลธุรกิจระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า และยังคงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อไป
เขาย้ำว่าเป้าหมายสูงสุดคือการเปลี่ยนอุตสาหกรรมให้สำเร็จและเติบโตไปพร้อมกับ AI

สงครามการค้ากับจีนและผลกระทบต่อ AI
ประเด็นที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ความสัมพันธ์กับจีนในยุคของสงครามการค้า Hoffman เห็นว่า การดำเนินนโยบายการค้ารุนแรง เช่น ภาษีและข้อจำกัดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลย้อนกลับไปช่วยให้จีนได้เปรียบในหลายอุตสาหกรรม
เขายกตัวอย่างว่า ยุโรปมองว่าจีนเป็นพันธมิตรทางการค้าที่เสถียรกว่าในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการผลิตและเทคโนโลยี ทำให้จีนสามารถขยายตลาดได้ดีกว่าสหรัฐฯ
ในขณะที่คำพูดทางการเมืองมักจะพูดถึงการแข่งขันกับจีนอย่างดุเดือด แต่การกระทำบางอย่างกลับทำลายพันธมิตรและตลาดของสหรัฐฯ เอง

แนวคิด “Coopetition” กับจีน
Hoffman แนะนำแนวคิด “Coopetition” ซึ่งหมายถึงการแข่งกันและร่วมมือกันในเวลาเดียวกัน เขามองว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างความเจริญรุ่งเรืองและสันติภาพระหว่างประเทศ
เขายังสนับสนุนการลงทุนของนักลงทุนสหรัฐฯ ในตลาดจีน แม้ว่าจะมีข้อจำกัดและความไม่เท่าเทียมในบางด้าน แต่การเชื่อมโยงและความร่วมมือยังคงมีความสำคัญ
อย่างไรก็ตาม Hoffman ชี้ว่าบริษัท Manus AI ยังไม่ใช่ผู้นำในตลาดผู้ช่วย AI (agent space) ที่มีการแข่งขันสูง โดยมีผู้เล่นใหญ่หลายราย เช่น ओपनएआई , Anthropic, Microsoft และ Google ที่พัฒนาเทคโนโลยีอย่างแข็งขัน

อนาคตของ OpenAI และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กร
Hoffman เคยเป็นกรรมการของ OpenAI และยังคงติดตามความเคลื่อนไหวของบริษัทอย่างใกล้ชิด เขาอธิบายว่า OpenAI กำลังเปลี่ยนโครงสร้างเป็น “public benefit corporation” หรือบริษัทเพื่อสาธารณประโยชน์ ซึ่งจะช่วยให้คณะกรรมการสามารถตัดสินใจโดยยึดเป้าหมายประโยชน์ของมนุษยชาติเป็นหลัก แยกจากผลกำไรทางธุรกิจ
การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้ OpenAI สามารถระดมทุนและพัฒนาเทคโนโลยี AI ต่อไปได้อย่างมั่นคง
Hoffman ยังแนะนำให้ลองเล่นกับโมเดล AI ที่มีความสามารถในการ “chain of thought” หรือคิดแบบเป็นขั้นตอนลึก ๆ เพื่อเข้าใจศักยภาพของ AI ในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของมนุษย์ในอนาคต

การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI: ความจำเป็นของการเดินหน้าอย่างกล้าหาญ
เรื่องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI เป็นอีกประเด็นที่ Hoffman ให้ความสำคัญ เขามองว่าแม้จะมีความเสี่ยงว่าอาจลงทุนเกินความจำเป็นในช่วงแรก แต่การไม่ลงทุนเลยจะทำให้สหรัฐฯ ตกขบวนการแข่งขันในอุตสาหกรรม AI ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เขาอธิบายว่าการตัดสินใจลงทุนควรใช้ “two by two matrix” หรือการวิเคราะห์แบบสองแกน เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างการลงทุนเร็วเกินไปกับการลงทุนช้าเกินไป และเห็นว่าการลงทุนอย่างกล้าหาญเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราจะเห็น AI เป็นผู้ช่วยส่วนตัวในการทำงาน เช่น การแนะนำคำถามที่ควรถาม หรือการแจ้งข้อมูลที่เกี่ยวข้องแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะเปลี่ยนวิธีการทำงานของเราอย่างสิ้นเชิง

ท่าทีทางการเมืองและการลงทุนเพื่ออนาคตของสหรัฐฯ
Hoffman ยังเปิดเผยถึงความตั้งใจในการให้การสนับสนุนทางการเมือง โดยเฉพาะในการเลือกตั้งที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งผู้พิพากษา เช่น ที่รัฐวิสคอนซิน แม้ผลลัพธ์จะไม่เป็นไปตามที่คาดหวังก็ตาม
เขาย้ำว่าเป้าหมายหลักคือการสร้างความเจริญรุ่งเรืองในสหรัฐฯ ผ่านการเปลี่ยนแปลงนโยบายพลังงานและการนำเทคโนโลยีซอฟต์แวร์มาช่วยปรับปรุงการทำงานของรัฐบาล
เขาเน้นว่าต้องการเห็นรัฐบาลมีประสิทธิภาพมากขึ้น แทนที่จะใช้วิธีการที่สร้างความเสียหาย เช่น การเนรเทศผิดกฎหมายหรือสงครามการค้าที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วไป

ความเห็นต่อโครงการ Doge: การปรับปรุงประสิทธิภาพและความผิดพลาด
ในส่วนของโครงการ Doge ที่มุ่งมั่นจะปรับปรุงประสิทธิภาพภาครัฐ Hoffman ชี้ให้เห็นว่าการเริ่มต้นด้วยการสร้างระบบวิเคราะห์ข้อมูลและทำความเข้าใจอย่างละเอียดเป็นแนวทางที่ดี
แต่การตัดสินใจที่ “ปิดระบบจ่ายเงินทั้งหมด” และทำให้ระบบล่มล้ม ถือเป็นความผิดพลาดร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อภาครัฐและผู้ใช้บริการ
เขาแนะนำว่าควรใช้วิธีการทำงานแบบ “iterative” หรือปรับปรุงทีละน้อยและเรียนรู้ไปพร้อมกัน แทนที่จะทำลายระบบเดิมทั้งหมดแล้วค่อยหาทางแก้ไขทีหลัง
LinkedIn กับการเปลี่ยนแปลงในยุค AI และสื่อสังคมออนไลน์
เมื่อพูดถึง लिंक्चर्ड แพลตฟอร์มที่ Hoffman ร่วมก่อตั้ง เขาแสดงความภาคภูมิใจที่ LinkedIn ยังคงยึดมั่นในภารกิจหลัก คือช่วยให้ผู้คนพัฒนาชีวิตทางเศรษฐกิจ หางาน สร้างเครือข่าย และทำความเข้าใจโลกธุรกิจ
แม้ว่าโลกของโซเชียลมีเดียจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยวิดีโอและเนื้อหาหลากหลายรูปแบบ แต่ LinkedIn ยังคงรักษาเป้าหมายที่ชัดเจนและพัฒนาฟีเจอร์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยให้ผู้ใช้ประสบความสำเร็จในด้านงานและธุรกิจ

ศัพท์เทคนิคที่ควรรู้ในบทความนี้
- एआई (आर्टिफिशियल इंटेलिजेंस): ปัญญาประดิษฐ์ คือระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถเรียนรู้และทำงานที่ต้องใช้ความคิดเหมือนมนุษย์ เช่น การจดจำภาพ การตอบคำถาม
- เทรน AI (Training AI): การฝึกฝนโมเดล AI ด้วยข้อมูลจำนวนมาก เพื่อให้ AI สามารถทำงานได้อย่างแม่นยำ
- Consumer Agent: ระบบ AI ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือผู้บริโภคโดยตรง เช่น ผู้ช่วยส่วนตัวดิจิทัล
- B2B (Business to Business): โมเดลธุรกิจที่บริษัทขายสินค้าและบริการให้กับบริษัทอื่น ไม่ใช่ผู้บริโภคทั่วไป
- Public Benefit Corporation: บริษัทที่มีเป้าหมายหลักเพื่อประโยชน์สาธารณะ มากกว่ากำไรทางธุรกิจ
บทสรุปจาก Insiderly :
จากการวิเคราะห์ของ Reid Hoffman เราเห็นภาพชัดเจนว่า AI กำลังเข้าสู่ยุค “การปฏิวัติอุตสาหกรรมเชิงปัญญา” หรือ “cognitive industrial revolution” ที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและธุรกิจอย่างลึกซึ้ง
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญคือการวางกรอบกฎระเบียบที่สมดุลระหว่างการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและการควบคุมความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรปที่ยังต้องปรับปรุงให้เหมาะสมกับความเร็วของนวัตกรรม
การลงทุนอย่างกล้าหาญในโครงสร้างพื้นฐานและการวิจัย AI เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อไม่ให้ประเทศใดประเทศหนึ่งตกขบวนการแข่งขันในเวทีโลก และแนวคิด “coopetition” หรือการแข่งและร่วมมือกับจีนอย่างมีสติ จะช่วยสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจและความมั่นคงระหว่างประเทศ
สุดท้ายนี้ AI จะกลายเป็นผู้ช่วยสำคัญในการทำงานและชีวิตประจำวันของเรา และองค์กรอย่าง OpenAI ที่มีเป้าหมายเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ จะเป็นตัวขับเคลื่อนนวัตกรรมที่ยั่งยืนในอนาคต
ดังนั้น การทำความเข้าใจและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้คือกุญแจสำคัญที่ทุกคนควรให้ความสนใจ เพื่อให้เราไม่เพียงแค่ตามเทคโนโลยี แต่สามารถสร้างโอกาสและความเจริญก้าวหน้าร่วมกันได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน